LOVE

LOVE
ความรักมักไม่มีเหตุผล

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

Rise of the guardians

RISE OF THE GUARDIANS

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเบื้องหลังตำนานซานตาคลอส (อเล็ค บัลด์วิน) กระต่ายอีสเตอร์ (ฮิวจ์ แจ็คแมน) นางฟ้าฟันน้ำนม (อิสลา ฟิชเชอร์) และแซนด์แมน มีเรื่องราวมากกว่าที่เราเคยรู้กันมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้มอบของขวัญ ไข่ เงินและความฝันเป็นมากกว่าที่เราคาดคิด และใน “Rise of the Guardians” พวกเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ซะด้วยสิ! ตัวละครจากเทพนิยายสมัยเด็กเหล่านี้ที่เป็นอมตะ แข็งแกร่งและพลิ้วไหว ได้รับมอบหมายให้ปกป้องความไร้เดียงสาและจินตนาการของเด็กๆ ทุกวัยอย่างเต็มพลังความสามารถ เมื่อภัยร้ายวางแผนจะขจัดผู้พิทักษ์เหล่านี้ให้หายไปจากโลกด้วยการพรากความหวังและความฝันจากพวกเด็กๆ ผู้พิทักษ์ที่เป็นที่รักเหล่านี้จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากแจ็ค ฟรอสต์ (คริส ไพน์) ผู้พิทักษ์จำยอม ผู้อยากจะมีความสุขกับวันหิมะโปรยปรายมากกว่าการกอบกู้โลก

จากซอกหลืบที่ลึกที่สุดของขั้วโลกเหนือ ไปสู่หลังคาเมืองเซี่ยงไฮ้ และเมืองเล็กกระจิ๋วริ๋วในนิวอิงค์แลนด์ รวมไปถึงดินแดนไกลโพ้น เหล่าผู้พิทักษ์จะต้องโรมรันครั้งใหญ่กับพิทช์ (จู๊ด ลอว์) ปีศาจฝันร้ายจอมเจ้าเล่ห์ ผู้ซึ่งวิธีการในการยึดครองโลกของเขาคือการกระจายความกลัวไปทั่วโลก และหนทางเดียวที่จะปราบเขาได้คือพลังแห่งศรัทธาและเวทมนตร์ของผู้พิทักษ์ 
CHARACTERS


JACK FROST


แจ็ค ฟรอสต์ เทพแห่งหิมะผู้ซุกซนและกล้าหาญ
แจ็ค ฟรอสต์ ตามชื่อของเขาแล้วย่อมเกี่ยวข้องกับน้ำแข็ง หิมะแน่นอน ประวัติของ แจ็ค ฟรอสต์ มีมายาวนานแล้ว เขาเป็นตัวปัญหาอายุ 300 ปีในร่างของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่มีพลังในการสร้างเกล็ดน้ำแข็ง ลม และหิมะ เขามีความสุขที่สุดในตอนที่เขาก่อปัญหา ควบคุมฤดูหนาวด้วยการใช้ไม้เท้ากวัดแกว่ง แตะหรือสัมผัส สำหรับเขา วันที่ประสบความสำเร็จวัดได้จากจำนวนบอลหิมะที่เขาขว้าง จำนวนหน้าต่างที่มีฝ้าขึ้น และจำนวนโรงเรียนที่ประกาศหยุดหลังจากหิมะตกหนัก เขาไม่มีภาระรับผิดชอบ ไม่มีใครมาควบคุม และท้ายที่สุด เขาก็ไม่มีเป้าหมาย อย่างน้อยก็ในความคิดของเขา

NORTH


NORTH นอร์ธ หรือ ซานต้าคลอส หนึ่งในห้าเทพผู้พิทักษ์
ผู้สร้างความสุขให้กับทุกคนด้วยของขวัญสุดพิเศษ นอร์ธ คือเทพผู้ทรงพลัง ซึ่งสถิตอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ เขามีอาณาจักรของตัวเอง พร้อมด้วย เอลฟ์ และ เยติ ผู้ช่วยในการผลิตของขวัญ และแน่นอนว่า เขามีเลื่อนรถลากและกวางเรนเดียร์มาด้วย จริงๆแล้วนอร์ธเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งแต่เพราะจินตนาการอันล้ำเลิศในหัวของเขา บุรุษบนดวงจันทร์จึงเลือกให้เป็นหนึ่งในห้าเทพผู้พิทักษ์

BUNNYMUND




บันนี่มันด์ หรือ กระต่ายอีสเตอร์ หนึ่งในห้าเทพผู้พิทักษ์
ซึ่งเป็นทายาทคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์นักบวช / นักรบกระต่ายยักษ์จากโบราณกาล ที่คุ้มครองชีวิต บันนีมันด์มีความสามารถในการเนรมิตประตูวิเศษ ที่ทำให้เขาสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ในโลกได้ในชั่วพริบตาเพื่อส่งไข่อีสเตอร์ที่ระบายสีสวยงามไปถึงที่หมาย 

SANDMAN


แซนด์แมน หรือ แซนดี้ หรือ มนุษย์ทราย หนึ่งในห้าเทพผู้พิทักษ์
เขาเป็นสถาปนิกและผู้นำฝันดีมาให้ เป็นเทพที่ปลดปล่อยจินตนาการของทุกคน และทำให้ฝันถึงความเป็นไปได้และความมหัศจรรย์ต่าง ๆ ในยามที่เราหลับ ความสามารถของเขา พลังแห่งความฝัน เป็นหนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุด

TOOTHFAIRY


ทูธ แฟรี่ หรือ นางฟ้าฟันน้ำนม หนึ่งในห้าเทพผู้พิทักษ์
เทพผู้พิทักษ์ฟันน้ำนมของเด็ก ๆ ซึ่งจะเป็นดั่งสิ่งที่เก็บเอาความทรงจำอันล้ำค่าของเด็ก ๆ ทุกคนไว้ นางฟ้าฟันน้ำนม จะมีนางฟ้าตัวเล็ก ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นจิ๋วของตัวเธอเองคอยช่วย เธอเป็นเทพที่ร่าเริง สดใส เหมือนวัยเยาว์

PITCH BLACK

พีช แบล็ค หรือ บูกี้แมน 
มักจะซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนของเด็กๆ เหมือนฝันร้าย เขามักจะชอบความหวาดกลัวของผู้อื่นมันทำให้เขามีพลังมากขึ้น ทางเดียวที่จะทำให้ความหวาดกลัวนั้นหายไปก็คือต้องเชื่อว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง แล้วเขาก็จะหายไป




Minor!

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

PIANO

PIANO

เปียโน เป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ที่สร้างเสียงเมื่อคีย์ถูกกดและกลไกภายในเครื่องตีสาย คำว่าเปียโนเป็นตัวย่อของคำว่า ปีอาโนฟอเต (pianoforte) - (ออกเสียงว่า ปี-อ๊า-โน่-ฟอ-เต้) ซึ่งเป็นคำภาษาอิตาลีที่แปลว่า "เบาดัง" มาจากความสามารถของเปียโนที่จะปรับความดังเบาตามแรงที่กดคีย์
ในฐานะเครื่องสาย เปียโนมีความคล้ายคลึงกับคลาวิคอร์ด (clavichord) และฮาร์ปซิคอร์ด (harpsichord) จะแตกต่างกันเพียงวิธีการสร้างเสียง สายฮาร์พซิคอร์ดจะถูกดีดหรือเกาโดยขนนก ส่วนสายของคลาวิคอร์ดจะถูกเคาะด้วยกลไกที่จะยังคงสัมผัสกับสายอยู่ตลอดเวลาหลังการเคาะ เพื่อบังคับความถี่ของการสั่น ส่วนสายเปียโนถูกเคาะด้วยลิ่มที่สะท้อนกลับในทันที เพื่อให้เกิดการสั่นของสายอย่างเป็นอิสระ
เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในดนตรีคลาสสิกตะวันตก ดนตรีแจ๊ซ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และดนตรีอีกหลายรูปแบบ เปียโนยังเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง

เปียโนในยุคแรกเริ่ม
เปียโนถูกคิดค้นขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยบาร์โทโลเมโอ คริสโตโฟรี รายละเอียดเวลาที่คริสโตโฟรีประดิษฐ์เปียโนเครื่องแรกนั้นไม่ชัดเจน แต่จากบันทึกของครอบครัวเมดิชิ ผู้ที่ว่าจ้างคริสโตโฟรี ปรากฏว่ามีเปียโนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 คริสโตโฟรีสร้างเปียโนอีก 20 เครื่องก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1731 และเปียโน 3 ตัวของเขาที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันย้อนมาจากช่วงปี ค.ศ. 1720
เปียโน เหมือนการพัฒนาทางเทคโนโลยีอื่นๆ มีรากฐานมาจากพัฒนาการของฮาร์ปซิคอร์ดตลอดหลายศตวรรษ ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการผลิตแผ่นขยายเสียง โครง และ คีย์บอร์ด คริสโตโฟรีเองก็เป็นผู้ผลิตฮาร์พซิคอร์ด
ความสำเร็จใหม่ที่สำคัญของคริสโตโฟรีคือการให้ค้อนตีสายเปียโนโดยไม่ค้างอยู่กับสาย (เพื่อให้เสียงที่ชัด). นอกจากนั้น ตัวค้อนยังจำเป็นที่จะต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ดีดหรือเด้งอย่างรุนแรง และที่สำคัญ เปียโนยังจำเป็นที่จะเล่นโนต์ที่รัวได้
เปียโนตัวแรกๆ ของคริสโตโฟรีทำขึ้นมาด้วยสายที่บางกว่าเปียโนปัจจุบัน ทำให้เสียงนั้นเบากว่าเปียโนปัจจุบันมาก. แต่เมื่อเทียบกับคลาวิคอร์ด (เครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียวในยุคนั้นที่สามารถควบคุมความเบาหรือดัง) เปียโนมีความดังมากกว่า
เครื่องดนตรีใหม่นี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักจนนักเขียนชาวอิตาลีนามว่าสกีปีโอเน มาเฟอี (Scipione Maffei) ได้เขียนและตีพิมพ์บทความ (ค.ศ. 1711) ที่พูดอย่างน่าตื่นตาตื่นใจถึงข้อดีของเปียโน. มาเฟอีได้รวมแบบของเปียโนไว้ในบทความ และกระตุ้นให้ผู้ผลิตอื่นๆ เริ่มที่จะสร้างเปียโนตามแบบของคริสโตโฟรี
หนึ่งในผู้ผลิตนี้คือกอตต์เฟรด ซิลเบอร์แมน (Gottfried Silbermann) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตออร์แกน. เปียโนของซิลเบอร์แมนแทบจะเป็นการเลียนแบบของคริสโตโฟรี ยกเว้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือคันเหยียบที่ยกแดมเปอร (์Damper Pedal) ออกจากทุกสายในเวลาเดียวกัน. หลังจากนั้น เปียโนส่วนมากก็นำสิ่งประดิษฐ์ของซิลเบอร์แมนมาใช้
ซิลเบอร์แมนได้นำเปียโนของเขาไปแสดงให้โยฮัน เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ในช่วงปี ค.ศ. 1730 แต่บาคก็แสดงความไม่ชอบใจที่โน้ตสูงของเปียโนยังคงเบาและไม่สามารถให้ความไพเราะอย่างเต็มที่. ซิลเบอร์แมนจึงได้พัฒนาเปียโนเพิ่มขึ้นอีก จนบาคให้ความเห็นด้วยกับเปียโนของซิบเบอร์แมนราวปี ค.ศ. 1747
          การผลิตเปียโนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองในปลายคริสต์ศตวรรษที่
18 โดยเฉพาะในหมู่ผู้ผลิตเปียโนแห่งกรุงเวียนนา ซึ่งรวมถึงโยฮัน แอนเดรียส สไตน (Johann Andreas Stein) และแนนเนต์ สไตน (Nannette Stein) ลูกสาวของโยฮัน แอนเดรียส. เปียโนเวียนนานั้นมีโครงไม้ สายสองเส้นต่อโน้ต และค้อนหนัง. นักประพันธ์ชื่อดังอย่างโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เองก็ได้ประพันธ์เพลงเพื่อเล่นบนเปียโนชนิดนี้. เปียโนในยุคของโมซาร์ทนั้นมีเสียงที่ใสกว่าปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้มีพลังเสียงน้อยกว่าเปียโนในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน คำว่าฟอร์เตเปียโน (fortepiano) ใช้แยกแยะระหว่างเปียโนยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 และเปียโนในปัจจุบัน

เปียโนในปัจจุบัน
ประเภทเปียโน
เปียโนในปัจจุบันมีรูปแบบสองรูปแบบ คือเปียโนตั้งตรงและแกรนด์เปียโน
แกรนด์เปียโน (Grand)
เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวนอน โดยที่สายเสียงนั้นจะถูกขึงออกจากคีย์บอร์ด ซึ่งทำให้มีเสียงและลักษณะที่ต่างออกไปจากเปียโนตั้งตรงแต่จะใช้ที่ทางมาก ทั้งยังจำเป็นต้องหาห้องที่มีการสะท้อนเสียงที่พอเหมาะสำหรับคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ในบรรดาแกรนด์เปียโนเองยังมีหลายขนาดและประเภท ซึ่งอาจจะแตกต่างกันตามผู้ผลิตหรือรุ่น แต่ก็ยังสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ เช่น คอนเสิร์ตแกรนด์ ที่มีขนาดประมาณ 3 เมตร แกรนด์ ที่มีขนาดประมาณ 1.8 เมตร หรือ เบบี้แกรนด์ ที่มักจะสั้นกว่าความกว้าง. เปียโนที่มีความยาวจะสร้างเสียงที่ดีกว่าและเพี้ยนน้อยกว่าเปียโนเครื่องอื่น ๆ แกรนด์เปียโนใหญ่จึงเป็นที่นิยมใช้ในคอนเสิร์ต

อัพไรท์เปียโน (Upright)
เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวตั้ง และขึงสายเปียตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบนของเปียโน แต่เปียโนประเภทนี้ไม่สามารถควบคุมการสร้างเสียงได้นุ่มนวลเท่าแกรนด์เปียโน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเทคโนโลยีเปียโนตั้งตรงได้พัฒนาคุณภาพเสียงมากขึ้น โดยการปรับปรุงโครงสร้างภายในให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นโดยใช้พื้นที่ในการตั้งวางน้อยกว่าแกรนด์ แต่ให้เสียงที่ใกล้เคียงมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1863 เฮนรี ฟอร์โนว์ (Henry Fourneaux) ประดิษฐ์เปียโนที่สามารถเล่นตัวเองได้ (player piano) โดยใช้ม้วนเหล็กที่เดินเครื่องกลในตัวเปียโน
ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการผลิตเปียโนดิจิตัลขึ้นใช้ โดยเลียนแบบเสียงของเปียโน เปียโนประเภทนี้เริ่มที่จะมีความซับซ้อนและการทำงานที่มากขึ้น โดยสามารถเลียนแบบชิ้นส่วนของเปียโนจริง เช่น น้ำหนักคีย์บอร์ด คันเหยียบ และเสียงเครื่องดนตรีอื่น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะทดแทนเปียโนเครื่องจริง

คีย์บอร์ด
เปียโนสมัยใหม่เกือบทุกตัวจะมี 88 คีย์ (มากกว่า 7 Octave เล็กน้อย เรียงลำดับตั้งแต่ A0 ถึง C8) เปียโนรุ่นเก่าหลายตัวมีเพียง 85 คีย์ (ตั้งแต่ A0 ถึง A7) ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะเพิ่มปริมาณคีย์ให้มากกว่านั้น โดยบ้างก็เพิ่มเพียงฝั่งเดียวก็เพิ่มทั้งสองฝั่ง ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือเปียโนBösendorfer ซึ่งบางตัวเพิ่มคีย์เสียงต่ำลงไปกว่าปกติจนถึง F0 บางทีต่ำลงไปจนถึง C0 เลยก็มี ทำให้มีครบ 8 octave บางรุ่นอาจจะซ่อนคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมานี้ไว้ใต้ฝาปิดเล็กๆ ซึ่งสามารถปิดคีย์เอาไว้ได้เพื่อป้องกันไม่ให้นักเปียโนที่คุ้นกับเปียโนปกติเห็นแล้วเกิดความสับสนกับคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมา บางตัวก็อาจจะสลับสีคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ (สลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ) ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นเอง คีย์ที่เพิ่มขึ้นมานั้นโดยมากแล้วก็มีไว้เพื่อสร้างเสียงสะท้อน (resonance) ได้มากขึ้น ซึ่งก็คือมันจะสั่นไปพร้อมกับสายเปียโนเส้นอื่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เหยียบคันเหยียบ ซึ่งก็จะให้เสียงได้เต็มกว่า มีเพลงที่แต่งขึ้นมาสำหรับเปียโนไม่กี่เพลงนักที่จะใช้คีย์พิเศษเหล่านี้ ไม่นานมานี้ บริษัท Stuart and Sons ได้ผลิตเปียโนที่มีคีย์มากกว่าปกติออกมาเช่นกัน เปียโนของบริษัทนี้จะเพิ่มคีย์เสียงแหลมขึ้นไปจนถึง 8 octave เต็ม ซึ่งคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาก็ดูเหมือนคีย์ปกติทุกประการ


สำหรับการจัดเรียงคีย์บนเปียโน ให้ดูในหมวด Musical keyboard การจัดเรียงเช่นนี้ได้แบบมาจาก harpsichord โดยไม่ผิดเพี้ยน เว้นแต่สีของลิ่มคีย์ (สีขาวสำหรับเสียงปกติ และสีดำสำหรับชาร์ป sharps) ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานสำหรับเปียโนในตอนปลายศตวรรษที่ 18
คันเหยียบที่พบเห็นโดยมากที่ติดอยู่กับเปียโนนั้นโดยส่วนมากจะมีอยู่ 3 อัน ในเปียโนบางตัวจะมี 2 อัน โดยจะเทียบได้เท่ากับ อันซ้ายสุดและอันขวาสุดของเปียโนที่มี 3 อัน ซึ่งจะช่วยให้การเล่นเปียโนนั้นมี dynamic ต่าง ๆ กันได้แก่
คันเหยียบอันซ้ายสุด มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน ในแกรนด์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว ชุดของคีย์บอร์ดรวมทั้งไม้ฆ้อนจะขยับไปทางซ้ายหรือทางขวาเล็กน้อย เพื่อให้ไม้ฆ้อนตีถูกสายเพียงครึ่งเดียว (ปกติเปียโนจะมีสาย 1 ถึง 3 เส้น ต่อ 1 คีย์) ทำให้เสียงเบาลง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า (Una Corda แปลว่า สายเส้นเดียว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีคานมาดันชุดไม้ฆ้อนให้ขยับเข้าไปใกล้กับสายมากขึ้น ทำให้เมื่อกดคีย์แล้ว ไม้ฆ้อนจะเหวี่ยงตัวได้น้อยกว่าปกติ แรงที่เคาะสายจึงน้อยลงด้วย ผลที่ตามมาก็คือ เสียงที่ค่อยกว่า และนุ่มนวลกว่า และจะได้เสียงที่นุ่มลงกว่าเดิม แต่เมื่อเรายกเท้าจากคันเหยียบอันนี้เสียงเปียโนก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
คันเหยียบอันกลาง ในแกรนด์เปียโนเรียกว่า sostenuto pedal เมื่อเหยียบแล้ว จะดำรงเสียงของตัวโน้ตที่กดไว้ก่อนเหยียบคันเหยียบนี้เท่านั้น โดย damper จะเปิดขึ้น (โน้ตอื่นๆ ที่กดหลังจากเหยียบคันเหยียบ damper จะทำงานปกติ ทำให้เสียงสิ้นสุดเมื่อปล่อยนิ้ว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เรียกว่า soft pedal มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีผ้ามากั้นระหว่างฆ้อนกับสาย เพราะฉะนั้นเมื่อเรากดคีย์ เสียงที่ได้จะเบาลง คันเหยีบบอันนี้มีความพิเศษก็คือ มันจะมีช่องสำหรับให้คันเหยียบอันนี้ค้างอยู่ได้ จึงทำให้เราไม่ต้องเมื่อยเมื่อต้องใช้เสียงเบา หรือต้องการใช้ dynamic แบบนี้นาน ๆ ได้ และเรายังสามารถปรับความดัง-เบา นุ่มลึกได้โดยการปรับระดับของแผ่นผ้าที่เคลื่อนลงมากั้นระหว่างฆ้อนเมื่อจะเคาะสายเปียโนได้อีกด้วย (แต่การปรับนั้นต้องเปิดฝาข้างล่างของเปียโนก่อน) ในอัพไรท์เปียโนมักใช้คันเหยียบนี้ในการซ้อมเปียโนเวลาไม่ต้องการให้มีเสียงดังมาก รบกวนคนอื่น
คันเหยียบอันขวาสุด คันเหยียบอันนี้มักจะถูกใช้บ่อย ๆ ซึ่งคำว่า pedal หรือ sustain ที่เราใช้เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้นั้นก็มาจากการทำงานของคันเหยียบตัวนี้ นั่นคือมันมีไว้เพื่อลากเสียงของโน้ตให้ยาวขึ้น คือเมื่อเรากดคีย์เปียโน 1 ครั้งและยกมือออกจากคีย์ เสียงก็จะหยุดทันที แต่คันเหยียบตัวนี้จะทำให้เกิดโน้ตที่มีเสียงยาวขึ้นโดยที่เราไม่ต้องกดมือค้างไว้ เพื่อจะได้เล่นโน้ตตัวอื่นได้อีก ทำให้เกิด hamony ขึ้นในเพลง เพิ่มความก้องกังวาน และความไพเราะให้กับการบรรเลงเปียโนของเรามากขึ้น (การเหยียบคันเหยียบอันนี้ค้างไว้นาน ๆ นั้นไม่ได้ทำให้การบรรเลงเพลงไพเราะเลยทีเดียวนะครับ เพราะการเหยียบนาน ๆ ค้างไว้จะทำให้เสียงของโน้ตหลาย ๆ เสียงเกิดปนกัน ทำให้เกิดคู่เสียงอันไม่พึงประสงได้ เพราะฉะนั้นหากจะใช้คันเหยียบอันนี้ก็ต้องฝึกฝน ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน)



Minor!

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

FROZEN

FROZEN




Disney's Frozen Official Trailer


เนื้อเรื่อง
ในอาณาจักรแห่งเอเรนเดลล์ พระราชาและพระราชินีมีพระธิดาสองคน เจ้าหญิงเอลซ่า พระธิดาองค์โต และเจ้าหญิงแอนนา พระธิดาองค์เล็ก จากเจ้าหญิงทั้งสองคน เอลซ่าเกิดมาพร้อมความวิเศษในการเสกน้ำเแข็งออกมาได้ดังใจสั่ง คืนหนึ่ง อันนาปลุกเอลซ่าให้มาเล่นด้วยกัน ขณะที่เอลซ่าและอันนากำลังเล่นกำลังเล่นสนุกสนานกับพลังวิเศษนี้ พลังหิมะของเอลซ่าถูกเสกเข้าที่หัวของอันนาด้วยความไม่ตั้งใจ อันนาหมดสติ และเส้นผมส่วนหนึ่งของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว พระราชาและพระราชินีรีบพาเจ้าหญิงทั้งสองไปยังหุบเขาอันเป็นที่อยู่ของเผ่าโทรลล์ผู้วิเศษเพื่อขอความช่วยเหลือ ในขณะที่อันนายังหมดสติอยู่นั้น ปู่แพ็บบี้ โทรลล์เฒ่าผู้นำเผ่า กล่าวว่าโชคดีที่เธอถูกพลังแค่ที่หัว แต่หากเป็นหัวใจแล้วจะต้องแย่แน่ๆ แพบบี้ได้ลบความทรงจำของอันนาเกี่ยวกับพลังของเอลซ่าออก เหลือทิ้งไว้แต่ความสนุกสนานของทั้งสองพี่น้อง และเตือนเอลซ่าว่าพลังของเธอจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องหัดที่จะควบคุมพลังนี้ให้ได้
เมื่อกลับสู่พระราชวัง เพื่อซ่อนเรื่องนี้เป็นความลับ พระราชาทรงสั่งให้มีการปิดประตูวัง ไม่ให้บุคคลทั้งภายนอกและภายในเข้าออก สองพี่น้องต้องถูกเลี้ยงดูแยกจากกัน การควบคุมพลังของเอลซ่านับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ พระราชาต้องมอบถุงมือพิเศษให้เอลซ่า เพื่อให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ง่ายขึ้น ในขณะที่อันนาแม้จะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดา แต่ก็ต้องอยู่กับโดดเดี่ยวตลอดหลายปี จากการที่เอลซ่าไม่ยอมพูดคุยกับเธอ แม้เธอจะยังจดจำความสนุกสนานที่เคยมีด้วยกันตอนเด็กๆได้ จนกระทั่งจุดพลิกผันมาถึงชีวิตของทั้งสองเมื่อพระราชาและพระราชินีทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันขณะเดินทางออกทะเล
สามปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชาและพระราชินี เอลซ่าก็มีมีอายุครบกำหนดที่จะเข้าพิธีราชาภิเษก ในวันพิธีนั้น ประตูวังจึงได้เปิดออกหลังจากปิดมานานหลายปี อันนาซึ่งใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานจึงออกจากวังเพื่อไปสำรวจบ้านเมือง ก่อนจะได้เจอกับเจ้าชายฮานส์ บุตรชายคนที่สิบสามของพระราชาแห่งหมู่เกาะทะเลใต้ และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทำให้อันนาตกหลุมรักฮานส์อย่างรวดเร็ว ส่วนเอลซ่าเธอเกรงว่าเธอจะปล่อยพลังของเธอออกมาในงานราชาภิเษก และเธอพยายามควบคุมมันไว้จนได้
ที่งานเลี้ยงหลังพิธี อันนาและเอลซ่าได้พูดคุยต่อหน้ากันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น ทว่าเพียงครู่ต่อมาเมื่ออันนาได้พาฮานส์มาพบเอลซ่า เพื่อขออนุญาตจากเอลซ่าให้ทั้งสองแต่งงานกัน เอลซ่าไม่อนุญาต และให้เหตุผลว่าอันนาจะแต่งงานกับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวไม่ได้ และสองพี่น้องเริ่มทะเลาะกัน อันนาดึงถุงมือของเอลซ่าออก ด้วยความกดดัน เอลซ่าไม่สามารถควบคุมพลังวิเศษของเธอได้ และเสกน้ำแข็งออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งอาณาจักร ดยุคแห่งวีเซิลตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแขกต่างเมืองที่มาร่วมงาน ตะโกนใส่เอลซ่าว่าเธอคือปีศาจ เธอจึงหวาดกลัวและวิ่งหนีออกไปจากเมือง และซ่อนตัวบนภูเขาอันห่างไกลจากอาณาจักร ณ ที่นั้น เธอรู้สึกปลดปล่อยจากความกดดันที่เธอพบมาเนิ่นนาน และได้ใช้พลังของเธอสร้างพระราชวังน้ำแข็งอันสวยงามขึ้นมา โดยที่ตลอดเวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าพลังความกลัวของเธอทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในสภาพฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ที่โหดร้าย
ทางด้านของอันนา ซึ่งรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ของตนหนีไป จึงรีบออกตามหาเอลซ่าด้วยตนเอง และมอบหมายให้เจ้าชายฮานส์เป็นผู้ดูแลอาณาจักรชั่วคราวแทน ในระหว่างทาง อันนาได้พบกับคริสตอฟฟ์ และสเฟน กวางเรนเดียร์คู่ใจของเขา เพื่อให้เขาช่วยนำทางในการตามหาเอลซ่า ทว่าเพียงไม่นานหลังจากทั้งกลุ่มออกเดินทางด้วยกัน ก็ถูกฝูงหมาป่าออกมาไล่ล่า ระหว่างที่ทุกคนหนีเอาตัวรอด คริสตอฟฟ์ต้องเสียเลื่อนหิมะราคาแพงของเขา ด้วยความรู้สึกผิด อันนาจึงขอออกเดินทางต่อด้วยตัวเอง และจะชดใช้ค่าเสียหายให้เขาเมื่อเธอตามหาเอลซ่าพบ คริสตอฟฟ์ แม้จะไม่อยากจะช่วยอันนาในการเดินทางต่อ แต่สเฟนก็โน้มน้าวให้คริสตอฟฟ์เปลี่ยนใจและช่วยอันนาตามหาพี่สาวของเธอต่อ ทั้งกลุ่มเดินทางมาพบกับโอลาฟ ตุ๊กตาหิมะที่เอลซ่าสร้างขึ้นระหว่างที่เธอกำลังหัดใช้พลังของเธอในการสร้างพระราชวังน้ำแข็ง โดยที่เอลซ่าเองไม่รู้ว่าโอลาฟนั้นได้มีชีวิตขึ้นมา โอลาฟอาสานำกลุ่มไปพบกับเอลซ่า
เมื่อทั้งพวกเขามาเจอกับเอลซ่าที่พระราชวังน้ำแข็ง อันนาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เอลซ่ากลับไปช่วยอาณาจักรให้คืนสู่ฤดูร้อน แต่เอลซ่ากลับยิ่งกลัวที่พลังของเธอรุนแรงขนาดนี้ ทั้งยังเผลอระเบิดพลังความหวาดกลัวของเธอเข้าใส่เข้าหัวใจของอันนา และปฏิเสธที่จะกลับไปยังเอเรนเดลล์ เอลซ่าเสกมนุษย์หิมะขนาดยักษ์ขึ้นมาเพื่อนำพวกเขาออกไปจากวัง ผมของอันนาเริ่มกลายเป็นสีขาว ทำให้อันนาเริ่มกังวล คริสตอฟฟ์อาสาพาอันนาไปหาพวกโทรลล์ ที่ซึ่งเขานับถือเป็นครอบครัว และเพราะเขาเองก็เคยเห็นพ่อแม่ของอันนามาขอความช่วยเหลือเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก ที่นั่น เหล่าโทรลล์ออกมาต้อนรับคริสตอฟฟ์ และคิดว่าอันนาเป็นแฟนสาวของคริสตอฟฟ์จึงเตรียมจัดพิธีแต่งงานแบบโทรลล์ให้พวกเขาแบบไม่ตั้งตัว ก่อนที่แอนนาจะอ่อนแรงลงด้วยความหนาว และผู้เฒ่าแพบบี้จะเข้ามาดูอาการ โดยบอกว่าน้ำแข็งที่ฝังอยู่ในหัวใจ จะละลายได้จากเพียงการกระทำแห่งรักแท้เท่านั้น พวกเขาจึงรีบออกเดินทางกลับไปยังเอเรนเดลล์ เพื่อให้อันนาได้พบกับฮานส์ที่คิดว่าคือรักแท้ของอันนา
ขณะเดียวกัน ด้วยความกังวล ฮานส์ได้ออกไปตามหาอันนา โดยมีทหารสองนายของดยุคแห่งวีเซิลตันซึ่งไดรับการกำชับให้สังหารเอลซ่า อาสาร่วมเดินทางไปกับฮานส์ด้วย เมื่อไปถึงพระราชวังน้ำแข็ง ขณะที่ฮานส์ต่อสูกับมนุษย์หิมะยักษ์ที่เอลซ่าสร้าง ทหารของดยุคได้มุ่งหน้าเข้าภายไปในวังเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่า เอลซ่าพยายามใช้พลังของเธอต่อสู้กลับพวดเขาและเกือบฆ่าทหารทั้งสอง แต่ฮานส์เข้ามาถึงในเหตุการณ์และขอร้องเอลซ่าให้หยุด ขณะที่ เอลซ่าตั้งสติได้ ทหารของดยุคได้ยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมฆ่าเธอ ฮานส์เข้าไปปัดหน้าไม้ขึ้นยิงใส่โคมน้ำแข็งเหนือเอลซ่า เอลซ่าวิ่งหลบแต่ล้มและหมดสติไป ก่อนจะฟื้นในห้องขังที่เอเรนเดลล์ ฮานส์ขอร้องให้เอลซ่าหยุดหิมะนี้ แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพียงไม่นาน คริสตอฟฟ์พาอันนากลับมาถึงเอเรนเดลล์ อันนาเล่าเรื่องการกระทำแห่งรักแท้ให้ฮานส์ แต่ก่อนที่ฮานส์จะจุมพิตอันนา ฮานส์ก็ได้เปิดเผยตัวตนออกมาว่าเรื่องที่เขารักอันนาเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้น การที่เขามีพี่ชายถึงสิบสองคน ทำให้เขาไม่มีทางจะมีอำนาจได้เลย เขาจึงคิดจะแต่งงานกับอันนา ก็เพื่อเตรียมจะยึดตำแหน่งราชาแห่งเอเรนเดลล์ได้หากเขาวางแผนฆ่าเอลซ่าอย่างลับๆได้สำเร็จ
ฮานส์ขังอันนาทิ้งไว้ในห้องให้เธอทนกับความหนาวเย็นจนกว่าจะตาย และหลอกให้เหล่าขุนนางเชื่อว่าเขาได้ให้ปฏิญาณแต่งงานกับอันนาก่อนเธอตาย ทำให้เขาเป็นผู้มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ และประกาศให้เอลซ่าเป็นกบฏและสั่งประหารชีวิต แต่เอลซ่านั้นใช้พลังของเธอช่วยหนีออกไปจากที่คุมขังได้เสียก่อน ทว่าความหวาดกลัวของเธอทำให้เกิดพายุหิมะอย่างรุนแรงรอบเอเรนเดลล์ คริสตอฟฟ์และสเฟนมุ่งหน้าฝ่าพายุหิมะเพื่อพยายามกลับเข้าไปในวัง ในขณะที่โอลาฟเข้ามาช่วยอันนาเอาไว้ได้และพาเธอหนีออกจากวังเพื่อไปหาคริสตอฟฟ์ ฮานส์ตามหาเอลซ่าในพายุหิมะจนเจอ และหลอกเธอว่าอันนาตายแล้ว เธอล้มลง ด้วยความเสียใจพายุหิมะหยุดนิ่ง อันนาซึ่งกำลังเดินไปหาคริสตอฟฟ์ เห็นฮานส์ที่กำลังคว้าดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่าอยู่ใกล้ๆ จึงได้วิ่งเอาตัวของเธอเข้าไปขวาง ก่อนที่ร่างของเธอจะกลายเป็นน้ำแข็งในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ดาบของฮานส์ระเบิดออกและกระแทกเขาจนหมดสติ เอลซ่าหันมาเห็นร่างของอันนาและกอดเธอไว้อย่างเสียใจ ทว่าการกระทำของเอลซ่านั้นเป็นการกระทำแห่งรักแท้ ร่างน้ำแข็งของเธอค่อยๆละลายและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เอลซ่าจึงเข้าใจแล้วว่า ความรักนี่เองที่ทำให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ ก่อนที่เธอจะใช้พลังของเธอค่อยๆละลายหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาจักร

ฮานส์ถูกส่งตัวกลับไปยังอาณาจักรของเขาเพื่อรับโทษ เอลซ่าประกาศตัดขาดทางการค้ากับเมืองวีเซิลตันท่ามกลางคำคัดค้านที่ไร้ผลของดยุค อันนาซื้อรถเลื่อนคันใหม่ให้คริสตอฟฟ์ชดใช้คันที่เสียไป ก่อนที่คริสตอฟฟ์จะจูบเธอด้วยความดีใจ เอลซ่าใช้พลังของเธอเปลี่ยนพื้นที่ในวังเป็นให้เป็นลานนำแข็งให้ชาวเมืองได้เพลิดเพลินกันอย่างมีความสุข และบอกอันนาว่าพวกเธอจะไม่มีวันปิดประตูวังอีกต่อไป

ตัวละคร
เอลซ่า (ELSA)


ราชินีผู้มีพลังน้ำแข็งมาตั้งแต่กำเนิด ยิ่งเอลซ่าโตขึ้นพลังวิเศษของเธอก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน จนทำให้เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมาพบปะกับผู้คน จนกระทั่งเธอได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพ่อของเธอ ทำให้เอลซ่าต้องออกมาเผชิญกับผู้คนภายนอก แล้วเธอก็เริ่มหวาดกลัวกับพลังวิเศษที่ไม่สามารถควบคุมได้ เธอจึงต้องหนีออกจากอาณาจักร และพลังของเธอทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในฤดูหนาวตลอดกาลโดยไม่ได้ตั้งใจ
อันนา (ANNA)


เจ้าหญิงน้อยผู้เป็นน้องสาวของเอลซ่า เธอเป็นเด็กที่ร่าเริง ช่างเพ้อฝันว่าสักวันจะได้พบกับรักแท้ เมื่อที่เอลซ่าได้หนีออกจากอาณาจักร เธอก็ต้องออกเดินทางไปตามหาเอลซ่าเพื่อกล่อมให้กลับอาณาจักร แต่เธอกลับโดนคำสาปน้ำแข็งของเอลซ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้อันนาต้องคำสาป และต้องหาทางแก้

คริสตอฟฟ์ (Kristoff)


หนุ่มภูเขาทำงานรับส่งก้อนน้ำแข็ง มีสเฟนกวางเรนเดียร์คู่ใจที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก และร่วมผจญภัยไปกับอันนาเพื่อลบล้างคำสาปของเอลซ่า

โอลาฟ (Olaf)


ตุ๊กตาหิมะที่เอลซ่ากับอันนาเคยปั่นด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่เอลซ่าได้หนีออกจากอาณาจักรแล้วสาปให้ทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูหิมะ พลังวิเศษของเธอก็ทำให้โอลาฟมีชีวิตขึ้นมา โอลาฟก็ได้พบกับอันนา คริสตอฟฟ์ และสเฟนระหว่างทางจึงร่วมเดินทางผจญภัยด้วย

เจ้าชายฮานส์ (Hans)


เชื้อพระวงศ์รูปงามจากอาณาจักรข้างเคียงที่เดินทางมายังเอเรนเดลล์เพื่อพิธีขึ้นครองราชย์ของเอลซ่า ด้วยความที่ฮานส์มีพี่ชายมากกถึง 12 คน ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมองข้าม ซึ่งเป็นสิ่งที่อันนารู้สึกเช่นเดียวกัน ฮานส์เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต และให้เกียรติผู้หญิง ฮานส์สัญญาว่าจะไม่ทิ้งอันนาไป ซึ่งเขาอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรอคอยมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เหมือนเอลซ่า แต่สุดก็หักหลังอันนาโดยทิ้งไว้ในห้องให้เธอทรมานจนกว่าจะตาย

สเฟน (Sven)


กวางเรนเดียร์ที่มาพร้อมกับหัวใจแบบสุนัข สเฟนคือเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของคริสตอฟ ผู้คอยทำหน้าที่ลากเลื่อนและเตือนสติคริฟตอฟ สเฟนจะคอยดูแลเสมอว่าเจ้านายชาวภูเขาของเขาจะเป็นชายหนุ่มที่ยืนหยัดต่อสถานการณ์ได้อย่างที่เขารู้จักและรัก โดยไม่ต้องคอยพูดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่เสียงพ่นลมของสเฟนก็มักจะสื่อความหมายที่ต้องการบอกได้อย่างดี




Minor!

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

MONSTER INC

MONSTER INC บริษัทรับจ้างหลอน (ไม่) จำกัด

เรื่องย่อ
เมื่อถึงเวลาขึ้นนอน เด็กๆทั่วโลกต่างรู้ดีว่า เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาพาพวกเขาขึ้นเตียงนอน และปิดไฟมืดเมื่อไหร่ สัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าจะกระโดดออกมาทันที แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยก็คือ ที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ต้องหลอกให้เด็กๆ กลัวไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นส่วนตัว มันคือ ?งาน? ของพวกสัตว์ประหลาดทั้งหลาย

มอนสโทรโพลิสคือบ้านของเหล่าประชากรสัตว์ประหลาดที่มีทุกรูปร่างและทุกขนาด แหล่งพลังงานหลักของพวกมันได้มาจากเสียงกรีดร้องของมนุษย์ และโรงงานที่ผลิตเสียงกรีดร้องขนาดใหญ่ที่สุด ก็คือ Monster, Inc. (หรือเอ็มไอ) ทีมสัตว์ประหลาดแถวหน้าของโรงงานจะเดินทางสู่โลกมนุษย์โดยผ่านประตูตู้เสื้อผ้าในยามค่ำคืน ก็เพื่อหลอกเด็กๆ ให้ตกใจกลัว และเก็บเสียงกรีดร้องของพวกเขาเอาไว้ ที่ทำให้งานนี้ยากมากขึ้นก็คือความจริงที่ว่า สัตว์ประหลาดเหล่านี้เชื่อว่าพวกเด็กๆ คือของมีพิษ และถ้าไปแตะโดนตัวเด็กเข้าจะนำมาซึ่งหายนะ

พนักงานที่เก่งที่สุดที่Monster, Inc. ก็คือ เจมส์ พี ซัลลิแวน หรือซัลลีย์ สัตว์ประหลาดตัวสีเขียวอมฟ้าที่มีส่วนสูงแปดฟุต และมีจุดสีม่วง รวมถึงเขาบนหัว ผู้ช่วยสร้างเสียงกรีดร้องของซัลลีย์ ก็คือ สัตว์ประหลาดตาเดียวตัวสีเขียวที่ชื่อว่า ไมค์ วาโซว์สกี้ ที่เผอิญเป็นเพื่อนร่วมห้อง และเป็นเพื่อนซี้ของซัลลีย์ด้วย สำหรับคู่ซี้สองตัวนี้ ชีวิตมีความสุข ซัลลีย์อยู่ในยุครุ่งโรจน์ ปราศจากคู่แข่งใดๆ เว้นแต่เจ้ากิ้งก่าที่ชื่อว่า แรนดัลล์ บ็อกก์ส ผู้สร้างเสียงกรีดร้องได้เป็นอันดับสอง รองจากซัลลีย์ ขณะเดียวกันนั้น ความพยายามที่ไมค์พากเพียรจีบสาวที่ชื่อว่า ซีเลีย ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับของบริษัท เริ่มส่งผล เฮนรี่ เจ วอเตอร์นูส ประธานกรรมการบริหารของMonster, Inc. ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์อันเนื่องมาจากความจริงที่ว่า พวกเด็กๆ เริ่มไม่กลัวอะไรง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
คืนหนึ่ง ซัลลีย์พบตัวเองยืนอยู่ที่ชั้นแห่งความกลัว และยังพบอีกว่า ประตูที่เปิดไปสู่ตู้เสื้อผ้าไม่ได้แปลงสภาพกลับไปเป็นท่อทางเดิน เมื่อเปิดประตูเพื่อสืบหาสาเหตุ ซัลลีย์ก็ต้องยอมรับว่า มีเด็กมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งหลุดรอดมายังโลกของเขาแล้ว ด้วยความเชื่อฝังหัวว่าเด็กๆ มีพิษ ซัลลีย์พยายามที่จะเอาชนะความกลัวของตัวเอง และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่กลับพบว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้น เขากับไมค์ต้องพาเด็กหญิงคนนั้น ซึ่งซัลลีย์ตั้งชื่อว่า บู กลับไปยังบ้านจนกว่าพวกเขาจะคิดหาทางออกได้ วันต่อมา พวกเขาจัดการปลอมแปลงบูให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง และพาเธอไปยังโรงงานโดยหวังจะส่งเธอกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย

ไมค์กับซัลลีย์ต้องเสี่้ยงต่อความปลอดภัยของตัวเอง ขณะที่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อส่งบูกลับไปยังโลกมนุษย์ ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวใดจะรู้ความจริงเข้า ทั้งซัลลีย์และไมค์ได้เข้าไปสะดุดแผนการขยายโรงงานผลิตโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาต้องพบว่า พวกเขายืนอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนเข้าพอดี

Characters

เจมส์ พี ซัลลิแวน(ซัลลีย์)

คือสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่สูงถึง 8 ฟุต ขนปุกปุยสีเขียวอมฟ้าที่มีแต้มจุดสีม่วง และมีเขาสองข้าง สัตว์ประหลาดหน้าตาน่ากลัวตัวนี้คือสิ่งสุดท้ายที่พวกเด็กๆ อยากจะพบภายในตู้เสื้อผ้าของพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซัลลีย์ก็คือสัตว์ประหลาดที่สร้างเสียงกรีดร้องได้มากที่สุดในโรงงานMonster, Inc. อย่างไรก็ดี ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่ากลัว ซัลลีย์ก็คือเจ้าหมีเท็ดดี้แบร์ และการเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิดกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อว่า บู ได้เผยให้เห็นถึงความสุภาพอ่อนโยนและบุคลิกที่ดูอบอุ่นภายในตัวซัลลีย์ นักแสดงยอดฝีมืออย่างจอห์น กู๊ดแมน (The Emperor?s New Groove, O Brother Where Art Thou?, Raising Arizona) เป็นผู้ให้เสียงพากย์แก่ซัลลีย์ และได้มอบเสน่ห์อันเหลือล้นให้กับยักษ์ใหญ่ใจดีตัวนี้ที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหนักอก

ไมค์ วาโซว์สกี้

ไมค์ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวเขียวที่มีปัญญาฉับไวตัวนี้คือชีวิตของกลุ่มสัตว์ประหลาด และมีตาเดียวไว้สำหรับมองสาวๆ (โดยเฉพาะซีเลีย) ถึงแม้ว่าไมค์จะไม่ค่อยได้มองตาประสานตากับเพื่อนร่วมบ้านที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วย แต่ไมค์ก็ภูมิใจในตัวซัลลีย์ และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นทั้งเพื่อนที่ซื่อสัตย์และใส่ใจเมื่อถึงเวลาที่ซัลลีย์มีปัญหา ตัวละครที่ทั้งตลกและมีสีสันตัวนี้ให้เสียงพากย์ที่สดใสโดยบิลลี่ คริสตัล ผู้มากไปด้วยความสามารถ และเคยฝากผลงานอันน่าประทับใจไว้แล้วทั้งในฐานะนักแสดง ดาราตลก ผู้กำกับ และยังเป็นพิธีกรเวทีออสการ์ที่ทุกคนชื่นชอบอีกด้วย

บู(Boo)

เด็กหญิงผู้กล้าหาญที่ค้นพบชีวิตอีกด้านหนึ่งของประตูตู้เสื้อผ้า ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น และไม่กลัวเกรงอะไร บูเพลิดเพลินไปกับการผจญภัยที่เธอมีพร้อมกับซัลลีย์และไมค์ในนครมอนสโทรโพลิส เธอไม่ประสาต่อความวุ่นวายที่เธอเป็นผู้ก่อ และอันตรายที่เธอกำลังเผชิญ แมรี่ กิ๊บบ์ส (ซึ่งปัจจุบันอายุสี่ขวบครึ่ง) ลูกสาวร็อบ กิ๊บบ์ส ศิลปินแผนกพัฒนาเรื่องของพิกซาร์ ประเดิมงานแสดงชิ้นแรกด้วยการให้เสียงพากย์กับตัวละครตัวนี้ และยังเป็นผู้มอบบุคลิกบางส่วนให้กับตัวละครตัวนี้ด้วย

แรนดัลล์ บ็อกกัส

สัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนกิ้งก่าน่าเกลียดตัวนี้จะไม่ยอมหยุดยั้งที่จะทำให้ตัวเองได้กลายเป็นนักล่าเสียงกรีดร้องมือหนึ่งของMonster, Inc. ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องทำลายชื่อเสียงของซัลลีย์ หรือการทำเรื่องขี้โกง (และด้วยมือที่มีมากถึงแปดมือ ก็ทำให้แรนดัลล์ทำเรื่องขี้โกงได้ง่ายอยู่แล้ว) ด้วยความสามารถที่ไม่ต่างจากกิ้งก่าที่สามารถปรับสีตัวให้กลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม แรนดัลล์จึงเป็นนักแอบฟังที่เก่ง และเขายังซ่อนกลเม็ดเด็ดไว้ที่แขนเสื้อซึ่งเขาหวังว่าจะทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้ สตีฟ บุสเซมี่ นักแสดงผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ (Ghost World, Fargo, Barton Fink, Reservoir Dogs) มาเป็นผู้สร้างอารมณ์ขันและความเจ้าเล่ห์ให้กับตัวละครที่ลื่นไหลไวเป็นกรดตัวนี้

ซีเลีย

พนักงานต้อนรับสาวที่มีผมเป็นงูรายนี้มีรูปร่างหน้าตาที่มีก็แต่สัตว์ประหลาดด้วยกันเท่านั้นที่จะรักลง แต่เธอมีนิสัยที่ชอบเปลี่ยนผู้ที่มองดูเธอให้กลายเป็นเนยมากกว่าจะเปลี่ยนให้แข็งเป็นก้อนหิน ทั้งหมดที่ซีเลียต้องการก็คือการได้ใช้เวลาอยู่กับหมีน้อยที่แสนน่ารักของเธอ (ไมค์ วาโซว์สกี้) แต่มักต้องมีอะไรผิดพลาดเสมอเมื่อเขาและเธออยู่ด้วยกัน เจนนิเฟอร์ ทิลลี่ (ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานของวูดี้ อัลเลนเรื่อง Bullets Over Broadway) มาเป็นผู้ให้เสียงพากย์ที่ร่าเริงกับซีเลียที่สุดร่าเริงแต่พูดมาก

รอซ

 เฮนรี่ เจ วอเตอร์นูส

เฮนรี่ในฐานะประธานกรรมการบริหารของMonster, Inc. ที่มีงานยุ่ง ดูจะกำลังกลุ้มใจกับปัญหาเรื่องการขาดแคลนพลังงาน ผลกำไรที่ตกลง และเด็กมนุษย์คนหนึ่งที่เล็ดรอดเข้ามา ถึงแม้ว่าเฮนรี่จะใจดีกับซัลลี่ ซึ่งเป็นดาราประจำโรงงานของเขา แต่เมื่อถึงคราเข้าตาจน เฮนรี่ก็พร้อมเตรียมตัวที่จะทำสิ่งที่เขาต้องกระทำเพื่อรักษาบริษัทที่เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลมาหลายชั่วสัตว์ประหลาดเอาไว้ เจมส์ โคเบิร์น (Affliction, Our Man Flint, The Great Escape) นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์มาเป็นผู้ให้เสียงพากย์กับสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายปู และมีโครงกระดูกเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าตัวนี้



Minor!